วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ทำไมถึงเรียกข้าวหอมมะลิ

 
  ข้าวหอมมะลิ (Thai jasmine rice) (Official name "Thai Hom Mali") เป็นสายพันธุ์ข้าวที่มีถิ่นกำเนิดในไทย มีลักษณะกลิ่นหอมคล้ายใบเตย เป็นพันธุ์ข้าวที่ปลูกที่ไหนในโลกไม่ได้คุณภาพดีเท่ากับปลูกในไทย และเป็นพันธุ์ข้าวที่ทำให้ข้าวไทยเป็นสินค้าส่งออกที่รู้จักไปทั่วโลก
                                             ประวัติ
  เมื่อปี พ.ศ. 2497 นายสุนทร สีหเนิน พนักงานข้าว จังหวัดฉะเชิงเทรา ได้รวบรวมพันธุ์ข้าวหอมในเขตอำเภอบางคล้า ได้จำนวน 199 รวง แล้ว ดร.ครุย บุณยสิงห์ (ผู้อำนวยการกองบำรุงพันธุ์ข้าวในขณะนั้น)ได้ส่งไปปลูกคัดพันธุ์บริสุทธิ์และเปรียบเทียบพันธุ์ที่ สถานีทดลองข้าวโคกสำโรง (ขณะนี้เป็นสถานีข้าวลพบุรี) ดำเนินการคัดพันธุ์โดยนักวิชาการเกษตรชื่อนายมังกร จูมทอง ภายใต้การดูและของนายโอภาส พลศิลป์ หัวหน้าสถานีทดลองข้าวโคกสำโรง
  จนกระทั่งปี พ.ศ. 2502 ได้พันธุ์บริสุทธิ์ข้าวขาวดอกมะลิ 4-2-105 และคณะกรรมการพิจารณาพันธุ์ ข้าวได้อนุมัติให้เป็นพันธุ์ส่งเสริมแก่เกษตรกร เมื่อ วันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2502 โดยเกษตรกรทั่วไปเรียกว่า [ขาวดอกมะลิ 105] ต่อมาได้มีการปรับปรุงพันธุ์ข้าว [ขาวดอกมะลิ 105] จนได้ข้าวพันธุ์ [กข 15] ซึ่งกระทรวงพาณิชย์ประกาศให้ ข้าวทั้ง 2 พันธุ์เป็นข้าวหอมมะลิไทย

                                            
ข้าวหอมมะลิในปัจจุบันที่นิยมปลูกและบริโภคกันอย่างแพร่หลายคือพันธุ์ ขาวดอกมะลิ 105 และ พันธุ์ กข.15 ซึ่งปัจจุบันราคาข้าวหอมมะลิราคาตกต่ำลงมาเรื่อยๆ เนื่องจาก ข้าวพันธุ์ปทุมธานี1 ให้ผลผลิตสูงกว่าข้าวหอมมะลิ 105 โดยผลผลิตต่อไร่เฉลี่ย 80-100 ถัง/ไร่ ปลูกได้หลายครั้งต่อปี และสามารถปลูกได้ดีในที่ลุ่มบริเวณที่ราบภาคกลาง ขณะที่ข้าวหอมมะลิ 105 นั้นจะให้ผลผลิตต่อไร่เพียง 30-40 ถัง/ไร่ และปลูกได้ดีในบางพื้นที่เท่านั้น ทางรัฐบาลจึงส่งเสริมให้ชาวนา เน้นการปลูกข้าวพันธุ์ปทุมธานี 1 มากกว่า พันธุ์ปทุมธานี 1 แม้ว่าจะมีความหอมคล้ายข้าวหอมมะลิ แต่ไม่ใช่ข้าวหอมมะลิ 

                          ลักษณะจำเพาะของกลิ่นหอมมะลิ   ความหอมของข้าวหอมมะลิ เกิดจากสารระเหยชื่อ 2-acetyl-1-pyroline ซึ่งเป็นสารที่ระเหยหายไปได้ การรักษาความหอมของข้าวหอมมะลิให้คงอยู่นานนั้นจึงควรเก็บข้าวไว้ในที่เย็น อุณหภูมิประมาณ 15 องศาเซลเซียส เก็บ    ข้าวเปลือกที่มีความชื้นต่ำ 14-15% ลดความชื้นข้าวเปลือกที่อุณหภูมิไม่สูงเกินไป นักการเกษตรกรทางท่านกล่าวว่า การใช้ปุ๋ยโปตัสเซียมในการปลูก มีแนวโน้มช่วยให้ข้าวมีกลิ่นหอมมากขึ้น (ยังไม่มีข้อมูลยืนยัน)

                               เกรดในการจำหน่าย                   กรมการค้าภายใน กระทรวงพาณิชย์ ได้แบ่งชั้นของข้าวหอมมะลิดังนี้  
 1. ข้าวหอมมะลิ ชั้น 1 (ดีพิเศษ) มีข้าวชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 5%    
    2. ข้าวหอมมะลิ ชั้น 2 (ดี) มีข้าวชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 15%
   3. ข้าวหอมมะลิ ชั้น 3 (ธรรมดา) มีข้าวชนิดอื่นปนได้ไม่เกิน 30% 

                    การส่งออก   
            
ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2470 เป็นต้นมา ปริมาณการส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงระดับ 2 ล้านตันในปี พ.ศ. 2520 (ช่วง 50 ปี) หรือมีอัตราเพิ่มเฉลี่ย 1 ล้านตันต่อ 25 ปี ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2521-2545 การส่งออกข้าวเพิ่มขึ้นเป็น 5 ล้านตัน หรือเฉลี่ย 1 ล้านตันทุก ๆ 5 ปี การส่งออกข้าวไทยที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในระยะนี้ดำเนินไปพร้อมกับการเพิ่มขึ้นของประชากรจาก 1ล้านคนในปี พ.ศ. 2470 มาเป็น 63 ล้านคนในปี พ.ศ. 2547 และพื้นที่ปลูกข้าวของไทยก็เพิ่มขึ้น 16 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2470 มา
  เป็น 61 ล้านไร่ในปี พ.ศ. 2547

                การส่งออกข้าวไทยในปัจจุบัน เป็นการค้าแบบเสรีในลักษณะที่ผู้ส่งออกตกลงกับผู้ซื้อใน ต่างประเทศ นอกจากนี้ยังมีลักษณะการส่งออกข้าวแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล แต่ก็ไม่มากนักเมื่อเปรียบเทียบกับเอกชน โดยในปี พ.ศ. 2544 เอกชนส่งออกถึง 7,237,708 ตัน คิดเป็น 96.24 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออกข้าวทั้งหมด ขณะที่รัฐบาลส่งออกเพียง 282,970 ตัน คิดเป็น 3.76 เปอร์เซ็นต์ของการส่งออก และในปี พ.ศ. 2546 ปริมาณการส่งออกข้าวไทยทำสถิติสูงที่สุดถึง 7.597 ล้านตัน ทำรายได้ให้ประเทศ 76,368 ล้านบาท โดยส่งไปขายทั่วโลก 173 ประเทศ ตลาดหลักของ ข้าวไทยอยู่ในทวีปเอเชีย แอฟริกา ตะวันออกกลาง อเมริกา ยุโรป และโอเชียเนีย ตามลำดับ

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2559

ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า

Image
ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า ง่ายและได้ผลจริง
หลายคนสงสัยว่า กล้วยช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วนได้อย่างไร คุณเชื่อหรือไม่ว่ากล้วยสามารถช่วยลดน้ำหนัก ลดความอ้วนได้จริง มีผู้คนมากมายทั่วโลกที่ใช้วิธีการลดน้ำหนักด้วยการทานกล้วยในมื้อเช้า หลายคนเคยไดเอ็ท อดอาหาร ตามสูตรควบคุมน้ำหนักต่างๆ ซึ่งต้องใช้ความอดทน อีกทั้งบางครั้งยังสร้างความเครียดให้เราอีกด้วย พยายามไดเอ็ทหลายวิธีก็ไม่ผอมลงสักที งั้นลองหยิบ "กล้วย" ใบน้อย มาเติมพลังให้เช้าวันใหม่ สำหรับการไดเอ็ทด้วยการทานกล้วยในมื้อเช้านี้ เป็นวิธีที่แสนง่าย แต่ได้ผล อยากให้ทุกท่านลองนำไปปฏิบัติกัน
กินกล้วยแล้วได้อะไร? 

สารอาหารที่ได้จากกล้วยได้แก่
1. วิตามินบี1 และบี 2 เร่งการเผาผลาญน้ำตาลและไขมัน ป้องกันตัวบวม และฟื้นฟูร่างกายจากความเหนื่อยล้า
2. เกลือแร่ เช่น โปรแตสเซียม ช่วยในการขับโซเดียมออกทางปัสสาวะ และแมกนีเซียม ช่วยควบคุมความดันเลือด และการทำงานของแคลเซียม
3. มีเส้นใยอาหาร (fiber) บรรเทาอาการท้องผูกได้ดี
4. กล้วยยังมีฤทธิ์ในการขับพิษสูง เพราะแป้งในกล้วยดิบจะช่วยดีท็อกซ์ ส่วนกล้วยสุกช่วยเสริมภูมิต้านทานป้องกันหวัดได้ดี
5. สารโพลีฟินอล มีฤทธิ์ต้านอนุมูลอิสระ ทำหน้าที่ชะลอความแก่
6. สารยูจินอล ซึ่งเป็นไฟโตเคมีคัล ที่ช่วยเร่งการพัฒนาสภาพร่างกาย
7. เซโรโทนิน ช่วยลดอาการหงุดหงิด และทำให้ความอยากอาหารลดลง
8. ในเนื้อกล้วยเองมีเอ็นไซม์ช่วยย่อย ก็จะทำให้การย่อยเป็นไปอย่างราบรื่น
9. น้ำตาลในกล้วย ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพให้มีสมาธิกับการทำงานมากขึ้น และส่งผลให้ความถี่และปริมาณการบริโภคน้ำตาลในระหว่างวันลดลงไปโดยปริยาย
10. มีผลวิจัยว่ากล้วยช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานของเซลล์ NK ซึ่งเป็นเซลล์ที่ทำหน้าที่จัดการมะเร็งได้ด้วย

ลดน้ำหนักด้วยกล้วยมื้อเช้า
วิธีปฏิบัติ
1. เริ่มจากกินกล้วยหอมอย่างเดียวในมื้อเช้า จะกี่ลูกก็ได้ตามต้องการ เคี้ยวให้ละเอียด หลังจากกินเสร็จแล้วยังหิวอยู่ ให้เว้นระยะเวลา 15-30 นาที จึงรับประทานอย่างอื่น เช่น ข้าว เป็นต้น ถ้าวันไหนเบื่อกล้วย หรือไม่ชอบกล้วยหอมจริงๆ จะเปลี่ยนเป็นผลไม้ชนิดอื่นก็ได้ เช่น แอ๊ปเปิ้ล แคนตาลูป หรือแตงโม เป็นต้น แต่ขอให้เป็นผลไม้ชนิดเดียวเท่านั้น เพื่อแบ่งเบาภาระของกระเพาะของเราไม่ให้เหนื่อยเกินไปที่จะผลิตน้ำย่อยกรดด่างต่างกัน
2. เครื่องดื่มที่ดื่มควบคู่กับกล้วยหอมตอนเช้าคือน้ำเปล่าที่อุณหภูมิห้อง และดื่มบ่อยๆ โดยไม่ต้องกังวลเรื่องปริมาณ
3. ส่วนมื้อกลางวัน จะกินอะไรก็ได้ แต่ต้องเคี้ยวให้ละเอียด กินให้พอเหมาะและไม่อึดอัดท้องจนเกินไป
4. พอถึงบ่ายสามก็กินของว่างได้บ้าง โดยเฉพาะของว่างประเภทข้าว ช็อกโกแลต หรือผลไม้ชนิดใดชนิดหนึ่งเท่านั้น
5. กินอาหารเย็นให้เร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ โดยเวลาเหมาะสมจะอยู่ที่ 6 โมงเย็นแต่ไม่เกิน 2 ทุ่ม และพยายามกินให้เร็วขึ้นจากปัจจุบันสักครึ่งชั่วโมง รวมทั้งไม่รับประทานของหวานหลังอาหารเย็นด้วย ซึ่งการกินข้าวเย็นแต่เร็ววัน ถึงแม้จะกินเยอะก็ไม่เป็นปัญหาแต่อย่างใด
6. นอนหลับให้ไวขึ้น ไม่ว่าจะอย่างไรก็ต้องนอนก่อนเที่ยงคืนให้ได้ พยายามนอนก่อนเที่ยงคืนให้เป็นนิสัย เพื่อฟื้นฟูร่างกายขณะหลับ กำจัดความเหนื่อยล้าซึ่งจะทำให้ร่างกายอยู่ในสภาพผอมได้ง่าย
7. ให้ความสำคัญกับการออกกำลังกายที่ไม่หักโหมจนเกินไป ทำให้พอเหมาะ เพื่อร่างกายสดชื่น การออกกำลังกายอย่าหักโหมจนรู้สึกทรมาน การไดเอ็ทจะไม่ได้ผล
8.จดบันทึกไดเอ็ทไดอารี่ให้เป็นนิสัย และเปิดเผยให้คนอื่นอ่านด้วย เป็นบ่อเกิดแห่งกำลังใจอย่างหนึ่ง
กินกล้วยหอม 2-4 ผล พร้อมกับน้ำในอุณหภูมิห้องในมื้อเช้า สูตรลดน้ำหนักสุดฮิต ที่สาวหนุ่มแดนซากุระแห่ทำตามจนแทบแย่งชิงกันเพื่อให้ได้กล้วยหอมมาครอบครอง หวังลดน้ำหนักได้เพรียวกันถ้วนหน้า ที่มาที่ไปของสูตรลดความอ้วนด้วยกล้วยนั้น มาจากเภสัชกรนางหนึ่ง ได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อช่วยเพิ่มการเผาผลาญอาหารให้กับสามีที่มีน้ำหนักตัวเกินมาตรฐาน ผลจากสูตรนี้ทำให้ลดน้ำหนักลงได้ถึง 16.6 กิโลกรัม เธอจึงแนะนำสูตรนี้ลงบน MIXI ชุมชนออนไลน์ที่ใหญ่ที่สุดในญี่ปุ่น ซึ่งภายในเวลาสองปีครึ่งที่ผ่านมา พบว่า สมาชิกชุมชนประสบความสำเร็จในการลดน้ำหนักถึง 300 คนแล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีการนำมาตีพิมพ์เป็นหนังสือ 

สาเหตุที่เกิดสงครามเวียดนาม

สงครามเวียดนาม

โดย ร.ท.นคร จันทร์บาลสงครามเวียดนาม (Vietnam War, ค.ศ. 1957-1975) เป็นสงครามระหว่างเวียดนามเหนือ และเวียดนามใต้ที่สนับสนุนโดยสหรัฐอเมริกา เพื่อตัดสินว่าควรรวมเวียดนามเป็นหนึ่งเดียวตามข้อตกลงเจนีวา ค.ศ. 1954 หรือไม่ สงครามจบลงด้วยชัยชนะของเวียดนามเหนือ และรวมประเทศเวียดนามทั้งสองเข้าด้วยกัน ซึ่งปกครองโดยพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศเวียดนาม ในประเทศเวียดนามเองเรียกสงครามนี้ว่า สงครามปกป้องชาติจากอเมริกัน หรือ สงครามอเมริกันหรือสงครามเศรษฐกิจ เพราะโฮจิมินห์ต้องการที่จะให้เวียดนามเดินตามทางขงจื้อ และรวมอานาจไว้กับตัวเอง

กำเนิดขบวนการใต้ดิน ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2 ขบวนการเวียดมินห์ ได้ถือกาเนิดขึ้น โดย โฮจิมินห์ เป็นผู้นา ระยะแรก การดาเนินการนั้น เพียงเพื่อหวังว่าจะขับไล่ญี่ปุ่นออกจากประเทศไปเท่านั้น แต่ครั้นในปี ค.ศ.1944 พวกเวียดมินห์ได้ตั้งกองบัญชาการกองโจรขึ้นโดยได้รับการสนับสนุนกาลังและอาวุธจากสหรัฐอเมริกา แต่กาลังการรบของเวียดมินห์นั้นยังเป็นกองกาลังเล็กๆ ยังไม่สามารถที่จะไปต่อต้านพวกญี่ปุ่นได้ ต่อมาในเดือนมีนาคม ค.ศ.1945 สถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงไป คือ ญี่ปุ่นได้ปลดอาวุธและขังทหารฝรั่งเศสประจาอินโดจีน จึงเป็นเหตุทาให้ฝรั่งเศสนั้นเสียศักดิ์ศรีไปมาก เพราะขณะเกิดเรื่องนี้ ญี่ปุ่นกาลังจะแพ้สงคราม ซึ่งเท่ากับเป็นการเปิดโอกาสให้ชาวเวียดนามกลุ่มต่างๆ ที่ดิ้นรนเพื่อเป็นเอกราช ได้เริ่มดาเนินการทันที ซึ่งผู้นานั้นก็คือ เบาไต๋ ซึ่งเคยเป็นจักรพรรดิแคว้นอันนัม ได้สถาปนาตนเองขึ้นเป็น "จักรพรรดิแห่งเวียดนาม" และต่อมาทาให้กลุ่มของเบาไต๋ มีความหวังยิ่งขึ้น คือ นายพลเดอโกลล์ ได้กล่าวคลุมเครือว่าอยากให้เวียดนามปกครองตนเอง ซึ่งทาให้พวกชาตินิยมในเวียดนามต่างก็มีความหวังในเรื่องเอกราชโดยสันติวิธียิ่งขึ้นไปอีก แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาต่อมาได้ทาลายความหวังลงไป เพราะกลุ่มเวียดมินห์ได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น แต่คาสั่งนี้มีเจตนาแอบแฝง ไว้เพื่อหวังผลอีกทางหนึ่ง โดยมีเจตนาหาทางป้องกันไม่ให้ฝรั่งเศสกลับมามีอานาจในเวียดนามอีก ประกาศเอกราชในเวียดนาม ซึ่งการที่กลุ่มเวียดมินห์นั้นได้สั่งให้ประชาชนต่อต้านญี่ปุ่น ได้ผลดีมากในทางภาคเหนือของประเทศ จักรพรรดิเบาไต๋ได้สละตาแหน่งประมุขของประเทศแล้วจัดตั้งรัฐบาลชั่วคราวขึ้น แล้วประกาศเอกราชในเวลาต่อมา ความสาเร็จในการยึดอานาจครั้งนี้ ทาให้พวกคอมมิวนิสต์ที่ปะปนอยู่ในหมู่ชาตินิยมเวียดนามสามารถตั้งตนในหมู่คณะชั้นนาของขบวนการปฏิวัติได้ ต่างชาติเข้าแทรกแซงฝรั่งเศสยังมีความพยายามที่จะยึดครองเวียดนามอยู่ แต่โอกาสยังไม่อานวยเพราะขาดกาลังทหารและพาหนะลาเลียง แต่เวียดนามก็ยังคงตกอยู่ในสภาพดังเดิม เพราะมหาอานาจฝ่ายพันธมิตรผู้ชนะสงครามได้เข้ามายึดครองแทน โดยมีอังกฤษเข้ายึดครองภาคใต้ของเวียดนาม จีนคณะชาติยึดครองทางภาคเหนือของเวียดนาม ชาวเมืองต่างไม่พอใจในการกระทาของอังกฤษ นายพลเกรซี่ย์ ผู้บัญชาการกองทัพอังกฤษในเวียดนาม ได้ประกาศกฎอัยการศึกในเขตที่ยึดครอง สาหรับฝรั่งเศสมีทหารจานวนเล็กน้อยได้มาถึงไซง่อนแล้ว ไปยึดตึกที่ทาการของรัฐบาล รื้อฟื้นอานาจของฝรั่งเศสใหม่ ขบวนการผู้รักชาติ โฮจิมินห์เริ่มเล็งเห็นถึงความเสียเปรียบ พยายามที่จะเอาชนะฝรั่งเศส ซึ่งกระทาได้ก็โดยการรวบรวมชาวเวียดนามที่มีหัวชาตินิยมไปเป็นพวก และเพื่อเป็นการปกปิดการหนุนหลังคอมมิวนิสต์ พร้อมกับแสดงให้ประชาชนเห็นว่าเป็น ขบวนการผู้รักชาติ โดยสั่งยุบพรรคคอมมิวนิสต์อย่างเปิดเผย และจัดตั้ง แนวแห่งชาติ ขึ้นแทน ส่วนพรรคคอมมิวนิสต์นั้นได้กลายเป็นองค์กรใต้ดิน ดาเนินการอย่างลับๆต่อมาเป็นเวลานาน ข้อตกลงระหว่างจีนคณะชาติกับฝรั่งเศส ภาคเหนือของเวียดนาม เป็นที่มั่นของขบวนการเวียดมินห์แต่มีกองทัพจีนคณะชาติอยู่ ฝรั่งเศสอยากให้จีนคณะชาติถอนตัวไปเพื่อจะได้ปราบพวกเวียดมินห์ และยึดภาคเหนือคืนได้สะดวกขึ้น ดังนั้นในเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ.1946 ฝรั่งเศสจึงได้ตกลงกับเจียงไคเซ็ค ยอมยกเลิกสิทธพิเศษในจีนเพื่อแลกกับการถอนทหารจีนออกไปจากภาคเหนือของเวียดนาม โฮจิมินห์พอเข้าใจถึงผลจากข้อตกลงนี้ ดังนั้นเพื่อไม่ให้ต้องปะทะกับฝรั่งเศสและจีน จึงต้องยอมให้ฝรั่งเศสยึดที่มั่นบางแห่งในภาคกลางและภาคเหนือ เพราะขณะนี้ โฮจิมินห์ ยังไม่พร้อมที่จะรบหรือต่อต้านกับชาติใดๆทั้งสิ้นพยายามแสวงหาสันติภาพ ฝรั่งเศสและเวียดมินห์ต่างก็พยายามจะตกลงกันโดยสันติวิธีโดยโฮจิมินห์ยอมให้ฝรั่งเศสเคลื่อนกาลังเข้ายังฮานอยและไฮฟอง ส่วนฝรั่งเศสก็ตอบแทนด้วยการรับปากว่าจะให้เวียดนามเป็น ประเทศเสรี แต่ผลที่ได้รับจากการตกลงดังกล่าว ได้กลายเป็นสาเหตุแห่งความยุ่งยากร้ายแรงในเวลาต่อมา กล่าวคือ การประชุมเจรจากันระหว่าง 2 ประเทศนั้นไม่ลงรอยกันมากขึ้น เพราะการประชุมส่วนใหญ่เกี่ยวกับปัญหาทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมไม่ได้กล่าวถึงเสรีภาพเลย ฝรั่งเศสมุ่มที่จะยึดครองด้วยกาลังทหาร ในช่วงเวลานี้ได้เกิดเหตุร้ายในไฮฟองหลายครั้ง ฝรั่งเศสระดมยิงหมู่บ้านไฮฟองเสียหายมากมาย ผลจากการกระทาดังกล่าว ทำให้ฝ่ายเวียดมินห์เห็นว่า การตกลงโดยสันติวิธีกับฝรั่งเศสคงไม่เป็นผล ดังนั้นจึงได้สั่งเคลื่อนกาลังพลโจมตีกองทหารฝรั่งเศสทั่วประเทศทันทีในวันที่ 19 ธันวาคม ค.ศ.1946
ปัญหาระหว่างฝรั่งเศส - เวียดมินห์ เอกราชของเวียดมินห์ที่ชาวเวียดนามแสวงหา กลายเป็นปัญหาสาคัญทางการเมืองที่สาคัญที่สุด และเป็นผลทาให้ชาวเวียดนามที่มีหัวปานกลางที่สังกัดกลุ่มชาตินิยม ซึ่งในระยะแรกคิดจะปรองดองกับฝรั่งเศส โดยจะยอมรับการปกครองของฝรั่งเศสแบบใดแบบหนึ่ง แล้วต้องสัญญาให้เอกราชที่สมบูรณ์ในภายหลัง แต่ฝรั่งเศสไม่สนใจ จึ่งทาให้พวกชาตินิยมกลุ่มนี้พยายามจัดตั้ง แนวสหภาพชาตินิยม เมื่อเดือนพฤษภาคม ค.ศ. 1947 และได้กลายเป็นพลังการต่อต้านที่สาคัญในเวลาต่อมา ด้วยเหตุดังกล่าว ฝรั่งเศสจึงได้กลายเป็นที่เกลียดชังของพวกชาตินิยมชาวเวียดนาม แม้แต่พวกไม่เคยต่อต้านฝรั่งเศสและนักการเมืองก็ต้องให้ความร่วมมือกับพวกปฏิวัติ หรือหนีไปนอกประเทศ ต่อมาในภายหลังฝรั่งเศสได้เสนอต่อเวียดนาม ให้มีเสรีภาพในวงกรอบแห่งสหภาพฝรั่งเศส แต่ก็ไม่ให้ความแน่ชัดในทางปฏิบัติ จึงเป็นเหตุให้พวกเวียดมินห์ที่ไม่พอใจฝรั่งเศส ทาการกวาดล้างชาวเวียดนามด้วยกันเองที่สนับสนุนข้อเสนอดังกล่าวของฝรั่งเศส ปี ค.ศ.1948 โงดินห์เตียมได้เสนอให้ฝรั่งเศสยกฐานะเวียดนามขึ้นเป็นประเทศในเครือจักรภพ แต่ฝรั่งเศสไม่ยอมรับ แต่อย่างไรก็ตาม ฝรั่งเศสก็พยายามที่จะแก้ไขข้อผิดพลาดของตนด้วยการเชิญเบาไต๋ ขึ้นเป็นหัวหน้าคณะรัฐบาล แต่ก็ไม่เกิดผลดีแก่ฝรั่งเศสแต่อย่างใด เพราะฝ่ายชาตินิยมหมดความไว้วางใจในฝรั่งเศสเสียแล้ว นอกจากนี้พวกคอมมิวนิสต์เวียดมินห์ ได้ควบคุมความเคลื่อนไหวของพวกชาตินิยมโดยสิ้นเชิง และเบาไต๋ก็ไม่ได้เป็นที่นิยมของประชาชน การมองข้ามความสาคัญของพลังความรู้สึกทางชาตินิยมของชาวเวียดนาม และการไม่แสวงหาสันติภาพด้วยความบริสุทธิ์ใจ เป็นความผิดพลางขั้นแรกของฝรั่งเศส ตลอดจนไม่นึกถึงความสาคัญของความร่วมมือสนับสนุนจากประชาชน ซึ่งเท่ากับเป็นการช่วยให้ข้าศึกสามารถรวมตัวกันได้เป็นปึกแผ่นและรวดเร็วยิ่งขึ้น

สหรัฐอเมริกา ได้เริ่มเข้าช่วยฝรั่งเศสในการรบกับเวียดมินห์ เมื่อปี ค.ศ. 1950 เป็นต้นมา สหรัฐอเมริกาได้เข้าไปพัวพันกับเวียดนามมากยิ่งขึ้น ซึ่งรวมถึงค่าใช้จ่ายในด้านการทหาร เศรษฐกิจก็เพิ่มขึ้นด้วยสงครามเวียดนามยุติลง 30 เมษายน พ.ศ. 2518 สงครามเวียดนาม (Vietnam Wars) ยุติลงอย่างเป็นทางการ หลังจากที่ทหารเวียดนามเหนือเข้ายึดเมืองไซ่ง่อนได้สาเร็จ สงครามเวียดนามเกิดขึ้นหลังจากมีการทาอนุสัญญาเจนิวา ในปี 2497 ซึ่งได้กาหนดให้แบ่งเวียดนามออกเป็นสองส่วนโดยใช้เส้นรุ้งที่ 17 เหนือ ก่อนที่เวียดนามเหนือเริ่มรุกรานเวียดนามใต้ในปี 2502 นับเป็นจุดเริ่มต้นของสงครามที่ยาวนานกว่า 10 ปี สงครามเวียดนามเป็นสงครามระหว่างฝ่ายคอมมิวนิสต์ซึ่งสหภาพโซเวียตและจีนให้การสนับสนุน คือเวียดนามเหนือ กับเวียดนามใต้ ซึ่งเป็นฝ่ายประชาธิปไตยที่สหรัฐอเมริกาและประเทศพันธมิตร (รวมทั้งประเทศไทย) สนับสนุน สหรัฐฯ ต้องทุ่มเทงบประมาณและสูญเสียชีวิตของทหารไปจานวนมาก เนื่องจากไม่คุ้นเคยกับสภาพพื้นที่และการต่อสู้แบบกองโจรของทหารเวียดกง นักศึกษาและประชาชนชาวอเมริกันจานวนมากออกมาเดินขบวนประท้วงสงครามนี้ ในที่สุดก็มีการลงนามใน ข้อตกลงสันติภาพปารีส (Paris Peace Accords) เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2516 หลังจากอเมริกาถอนกาลังทหารออกไป กองทัพเวียดนามเหนือก็บุกยึดไซ่ง่อนได้สาเร็จ เวียดนามทั้งสองรวมเข้าด้วยกันเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2518 แล้วประกาศใช้ชื่อประเทศใหม่ว่า สาธารณรัฐเวียดนาม ในเวียดนามเรียกสงครามครั้งนี้ว่า "สงครามปกป้องชาติจากอเมริกา" หรือ "สงครามอเมริกัน" แนวความคิด สงครามเวียดนามที่แท้จริง แบ่งเป็นสาเหตุหลักใหญ่ๆสองประการคือ การแย่งชิงอานาจกันระหว่างขั้วมหาอานาจทั้งสอง คือ ประเทศที่ยึดถือหลักการปกครองแบบเสรีนิยม กับอานาจนิยมโดยมีตัวแทนของสองขั้วอานาจคือ
1. ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย นาโดยสหรัฐอเมริกา
2. ประเทศที่ปกครองด้วยระบอบสังคมนิยม นาโดยประเทศสาธารณรัฐสังคมนิยมรัสเซียโดย เป็นผลต่อเนื่องมาจากการพยายามเข้ามามีอิธิพลเหนือพื้นที่ในทวีปเอเชียของประเทศมหาอานาจต่างๆในยุโรปเช่น
- การเข้ายึดจีนแผ่นดินใหญ่ของอังกฤษ
- สงครามยุโรปทั้งสองครั้งระหว่างอังกฤษและฝรั่งเศส ทาให้ฝรั่งเศสมีความต้องการอย่าง ยิ่งยวดที่จะขยายอานาจและแสวงหาทรัพยากรจากทวีปอื่นเป็นค่าใช้จ่ายในการทาสงคราม

วันอังคารที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2559

เคล็ดลับจีบสาว


สำหรับผู้ชายบางคน การเดินเข้าไปทักทายสาวๆแปลกหน้าที่สุดแสนจะน่ารักอาจเป็นเรื่องง่ายดาย แต่สำหรับผู้ชายส่วนใหญ่อีกมากมายกลับรู้สึกว่ามันช่างเป็นงานที่ลำบากยากเย็นเสียเหลือเกิน ทำให้รู้สึกเขินอายเกินกว่าที่จะเข้าไปเริ่มพูดคุยกับเธอ เรามีคำแนะนำเกี่ยวกับวิธีการจีบหญิงให้กับหนุ่มๆที่อยากจะลองเปลี่ยนตัวเองเป็นคนใหม่ดูบ้าง
1. ทัศนคติ 
เปลี่ยนทัศนคติกันก่อนว่าการจีบสาวนั้นเป็นศิลปะไม่ใช่วิทยาศาสตร์ เราไม่สามารถกำหนดวิธีจีบสาวที่ได้ผลแน่นอนได้ แต่สิ่งที่เราทำได้ คือ การเพิ่มความกล้า และเพิ่มโอกาสในการจีบติด สิ่งสำคัญที่ขาดไม่ได้เลยในการจีบหญิงก็คือ ความมั่นใจ การที่จะทำอะไรออกมาให้ได้ผลดีได้นั้นต้องอาศัยความมั่นใจทั้งนั้นหละ จีบหญิงก็แบบเดียวกันเลย ทุกโอกาสที่คุณได้ลงมือทำนั้นไม่ได้สูญเปล่า ไม่ว่าจะจีบได้หรือไม่ได้ ทั้งหมดล้วนแต่สร้างสิ่งใหม่ที่เรียกว่า ความกล้า และ ทักษะ ในการจีบสาวให้คุณ


2.. หัดเริ่มคุยก่อน เปิดเกมส์ด้วยตัวเองซะบ้าง
คนที่เริ่มคุยได้ก่อน ย่อมได้เปรียบเสมอในการสร้างความสัมพันธ์กับเพศตรงข้าม ลองคิดดูว่า เป็นคุณมีคนมาจีบคุณ แล้วใช้แค่สายตามองๆ ไม่พูด ไม่คุยซักที เป็นคุณจะชอบมั้ย กับอีกอย่าง พูดแต่ไม่น่าฟังไม่น่าคุยด้วย คนแบบนี้คุณจะยอมคบด้วยมั้ยหละ การรู้จักเริ่มเปิดบทสนทนาให้เกี่ยวข้องกับสถานการณ์ในขณะนั้นก็เป็นเรื่องสำคัญเช่นกัน เช่นเจอกันที่สระว่ายน้ำ คุณก็ควรชวนเธอคุยเรื่องว่ายน้ำ เรื่องออกกำลังกายไม่ใช่เรื่องการเมือง


3. กล่าวคำชม
การกล่าวชมเชยเป็นองค์ประกอบอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญในการ จีบ เพราะว่าคนๆ นั้น จะมีความรู้สึกว่า “อืม.. นี่เค้าก็สังเกต และให้ความสนใจเราในระดับหนึ่งเหมือนกันนะ” เคยได้ยินมั้ยที่ว่า “อันอ้อยตาล หวานลิ้น แล้วสิ้นซาก แต่ลมปากหวานหูมิรู้หาย” หมายความว่า เวลาที่เราได้ยินคำหวาน เรามักจะจดจำ คำๆนั้นได้ดี และเราก็สามารถนึกถึงคำๆ นั้นได้อีก เพราะคำเหล่านี้ ถูกเก็บบันทึกไว้ในสมองของเราเรียบร้อยแล้วในทางตรงกันข้าม หากคุณได้รับคำชมเชยจากเธอ ก็ไม่จำเป็นต้องกล่าวโอ้อวดอะไร เพียงแค่กล่าวคำว่า “ขอบคุณ” ก็พอ

4. อารมณ์ดี ยิ้มเก่ง ตลก
ผู้ชายที่มีอารมณ์ขี้เล่นบ้างในบางครั้งและดูเป็นธรรมชาติย่อมน่าสนใจกว่า คนไม่เครียด คนมองโลกในแง่ดี ย่อมน่าคุยด้วยมากกว่าคนมองโลกในแง่ร้าย หงุดหงิดง่าย


5. เป็นตัวของตัวเอง
การโกหกหรือแสร้งเป็นคนอื่นเพื่อสร้างความประทับใจไม่ใช่สิ่งที่ควรทำโดยเด็ดขาด อย่าพยายามเปลี่ยนตัวเองให้เหมือนใครเลยดีกว่า นอกจากจะเสียเวลาเปล่าแล้ว การไม่แสดงความเป็นตัวเองออกมาตั้งแต่แรกย่อมมีแนวโน้มความผิดหวังเพราะถึงคบกันไปสักวันคุณก็คงฝืนเป็นคนอื่นต่อไปไม่ไหว ที่สำคัญผู้ชายที่ยอมตามใจผู้หญิงไปซะทุกเรื่องก็ดูขาดเสน่ห์อย่างไร้เหตุผล ทว่าเพียงแค่แสดงความเป็นตัวเองออกมา แลกเปลี่ยนทัศนคติที่แตกต่างกันบ้าง เท่านี้ก็ทำให้คุณดูพิเศษขึ้นได้ง่าย ๆ แล้วล่ะ

6. แสดงความเป็นผู้นำ
ผู้หญิงร้อยทั้งร้อย ต้องเลือกผู้ชายที่มีความเป็นผู้นำสูง เป็นเสาหลักของครอบครัว เราต้องโชว์จุดนี้ให้ผู้หญิงเห็น โดยการทำตัวเป็นผู้นำทุกครั้งที่อยู่กับเธอ ผู้หญิงคงไม่ชอบให้เราเป็นผู้ชายที่คอยแต่เดิน ตามเธอต้อยๆ เวลาเดินด้วยกันเราจึงควรเดินนำหน้าเธออย่างน้อย 20เมตร ให้เธอเห็นว่าเรามีความเป็นผู้นำสูงจริงๆ เวลาเปิดประตู ก็เปิดแล้วเดินนำเข้าไปก่อน คนเป็นผู้นำต้องมองไปข้างหน้าอย่างเดียว อย่ามัวห่วงหน้าพะวงหลัง เหมือนบอกเป็นนัยๆให้เธอรู้ว่า คุณเป็นคนมองการไกล แน่วแน่ ไม่ถอยหลังง่ายๆ


7.ให้เกียรติผู้หญิง
ถึงแม้หญิงชายสมัยนี้จะเท่าเทียมกันหมด แต่ผู้หญิงจะรู้สึกดีกับผู้ชายที่ให้เกียรติเธอ เราจึงควรแสดงจุดนี้ให้เธอเห็น เพื่อเธอจะได้ชื่นชมในตัวเรา 

8 .อย่าดราม่า
ต่อให้ชีวิตของคุณจะขมขื่นแค่ไหน ก็ไม่ควรดราม่าใส่สาวๆเด็ดขาด เพราะแม้ว่าเรื่องน่าเศร้าของคุณจะเรียกความสงสารจากเธอได้แต่มันอาจพัฒนาเป็นความเวทนาเกินกว่าที่เธอจะอยากปลอบใจ เผลอๆอาการคร่ำครวญไร้ความแมนของคุณยังอาจฉุกให้เธอสงสัยว่าเหตุใดคุณถึงเป็นฝ่ายถูกกระทำมาโดยตลอด หนักเข้าเธอก็อาจจินตนาการไปไกลถึงข้อบกพร่องของคุณอีกต่างหาก ฉะนั้นจะจีบสาวทั้งที พกความมั่นใจและความสดใส น่าคบหาไปแทนดีกว่า


9. ไม่คาดหวังบ้างก็ดี
อาจเป็นเรื่องยากที่จะห้ามใจตัวเองไม่ให้คาดหวังกับการเริ่มต้นความสัมพันธ์ทุกครั้ง แต่ก็ต้องยอมรับว่าความคาดหวังที่มากเกินไปจะสร้างความกดดันให้ทั้งสองฝ่าย โดยเฉพาะหากฝ่ายหญิงสัมผัสได้ว่าคุณคาดหวังกับเธอไว้สูงมาก ก็คงแอบกังวลอยู่ลึก ๆ และสร้างกำแพงมาขวางทางคุณโดยอัตโนมัติ คราวนี้จะปีนกำแพงไปทำคะแนนก็คงลำบากแล้วล่ะ แต่หากคุณเข้าไปทำความรู้จักทีละนิดทีละหน่อย ค่อย ๆ รักกันเบา ๆ ฟันธงได้เลยว่าโอกาสจีบติดคงสูงอย่างแน่นอน หรือถ้าพลาดไปอย่างน้อยก็ยังได้ฐานะเพื่อนคนสนิทมาครองนะ

10. ซ่อนความลับให้ดูน่าค้นหา
ถ้าหากคุณเป็นผู้ชายพูดมาก เปิดเผยสิ่งที่ตัวเองคิดและเป็นทั้งหมดเพียงเพื่ออยากจะเผยความจริงใจให้เธอได้รับรู้ ก็ไม่ต้องแปลกใจหรอกว่าทำไมถึงผิดหวังซะทุกครั้ง ก็คุณเล่นเผยไต๋ออกไปหมดอย่างนี้สาวที่ไหนจะเหลือความสนใจให้คุณได้อีก แถมการป้อนข้อมูลของตัวเองโดยไม่สนใจว่าเธออยากจะรับรู้หรือเปล่ายังอาจสร้างความรำคาญให้เธอได้ง่าย ๆ เอาเป็นว่าหัดเก็บความลับไว้กับตัวบ้าง เชื่อเถอะว่าบุคลิกที่ดูเข้าถึงยากนิดๆ มีความลับหน่อยๆดึงดูดใจผู้หญิงได้ทุกรายนั่นแหละ
 นอกจากเคล็ดลับเหล่านี้แล้ว เสน่ห์ของผู้ชายที่จะดึงดูดความสนใจของผู้หญิงได้ก็อยู่ที่ความมั่นใจในระดับพอดี รวมทั้งความเป็นสุภาพบุรุษก็ควรต้องมีอย่างเต็มเปี่ยมด้วย
- See more at: http://meetnlunch.com/blog/152382#sthash.HIgNnNJU.dpuf

เตรียมตัวก่อนสัมภาษณ์งานเพื่อสร้างความมั่นใจ

คําถามสัมภาษณ์งาน ที่เจอบ่อยๆ พร้อมคำตอบ ชนะใจกรรมการ เราได้รวบรวม คําถามสัมภาษณ์งาน ที่กรรมการชอบถามบ่อยๆ พร้อมทั้ง คำตอบที่ไม่ควรตอบ และ คำตอบที่ตอบแล้วคณะกรรมการจะชอบมาก พร้อมทั้ง เทคนิคเล็กๆน้อย มารวมไว้ที่นี่แล้ว หวังว่า คงจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ที่จะไปสัมภาษณ์งาน ทุกคน ยังไงก็แนะนำต่อด้วยนะค่ะ

สารบัญ คําถามสัมภาษณ์งาน

คำถามสัมภาษณ์งานสุดหิน ที่ตอบดีมีชัยเกิน 50 %
  1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟัง (tell-me-about-yourself)
  2. ทำไมคุณถึงคิดว่าเหมาะกับงานนี้ (Why do you think is right for this job)
  3. ตามความเข้าใจของคุณ คุณคิดว่าตำแหน่งนี้ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง
อีก 50 % ขึ้นอยู่กับคำถามสัมภาษณ์งานเหล่านี้
  1. จุดมุ่งหมายระยะยาวในการทำงานของคุณ คืออะไร
  2. จุดอ่อนของคุณ คืออะไร
  3. คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง
  4. ถ้าได้งานนี้ คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่นานเท่าไหร่
  5. ทำไมคุณถึงออกจากงานเก่า
  6. อะไรคือสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในงานเก่า (หรืองานที่กำลังทำอยู่)
  7. อะไรคือสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต
  8. ทำไมถึงอยากทำงานนี้
  9. คุณคิดอย่างไรกับหัวหน้า คนปัจจุบัน/คนเดิม 
  10. ในอนาคตอีก 7 ปี คุณจะทำอะไรอยู่ 
  11. คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่
  12. ทำไมเราควรจะจ้างคุณ
  13. แรงจูงใจของคุณ คืออะไร

3 คำถามสัมภาษณ์งานสุดหิน ที่ตอบดีมีชัยเกิน 50 %

1. ช่วยเล่าเกี่ยวกับตัวคุณให้เราฟัง (tell-me-about-yourself)

หลักการ : ใช้เวลาเพียง 2-3 นาทีสั้นๆ แบบกระชับได้ใจความ บอกเหตุผลที่ว่าทำไมเราจึงเป็นผู้สมัครที่ดีที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ รวมถึงยกตัวอย่างให้ฟังเพื่อช่วยอธิบายและเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับตัวเรา 

คำตอบที่ไม่ควรตอบ : การเล่าทุกสิ่งทุกอย่างเกี่ยวกับตัวเอง ตั้งแต่จบประถม มัธยม เข้ามหาลัย จนทำงาน แต่ไม่มีจุดเด่นอะไรเพียงพอที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์รู้สึกสนใจในตัวคุณ 

คำตอบที่ถูกต้อง : หลังจากเรียนจบด้านบัญชีและทำงานที่บริษัทตรวจสอบบัญชีมา 5 ปี ทำให้เป็นคนทำงานเร็วและละเอียดรอบคอบ เพราะการตรวจสอบบัญชีแต่ละครั้งมีระยะเวลากำหนดชัดเจนว่ากี่วันหรือกี่สัปดาห์ ทั้งยังฝึกความเป็นผู้นำ เพราะต้องดูแลน้องในทีมที่ออกตรวจงานด้วยกัน รวมถึงแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าได้ดี สิ่งเหล่านี้ทำให้ดิฉันได้รับมอบหมายดูแลงานโปรเจคใหญ่ๆ อยู่เสมอ

หรือ : ดิฉันเป็นคนกระตือรือร้นและชอบติดต่อกับผู้คนมากค่ะ ประสบการณ์ในด้านเซลล์สองปีช่วยสร้างความมั่นใจให้ดิฉัน และทำให้รู้ว่าความจงรักภักดีของลูกค้าสำคัญแค่ไหน ในความรับผิดชอบครั้งสุดท้าย ดิฉันเริ่มโครงการส่งจดหมายข่าวของบริษัท ผลก็คือเราสนิทกับลูกค้าเดิมมากขึ้นและสร้างฐานลูกค้าใหม่ ๆ จนสามารถเพิ่มรายได้ให้บริษัทถึง 10% ภายในสองปีเท่านั้น นอกจากนี้ ดิฉันสนใจเกี่ยวกับการใช้ Web Tool ในเชิงการตลาด และสนใจจะพัฒนาแพลตฟอร์มให้บริษัทของคุณมากค่ะ

2. ทำไมคุณถึงคิดว่าเหมาะกับงานนี้ (Why do you think is right for this job)
 
หลักการ : โอกาสมาถึงแล้ว อย่ากลัวที่จะพูด อาจจะเริ่มจากประสบการณ์และความสามารถที่เคยผ่านมา อันเป็นสาเหตุทำให้คุณเหมาะสมที่สุดสำหรับตำแหน่งนี้ แล้วต่อด้วยเหตุผล ตัวอย่าง กรณีศึกษา สิ่งที่เป็นจุดเด่นและแตกต่างจากผู้สมัครคนอื่น 

กรณีที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ ถ้าสมัยเรียนทำกิจกรรมมาเยอะ เช่น ออกค่าย ฝึกงาน โครงการนักเรียนแลกเปลี่ยน ฯลฯ อย่าลังเลที่จะบอกเล่าว่ากิจกรรมเหล่านั้น ทำให้ตัวเองเป็นคนที่เข้ากับคนอื่นง่าย รู้จักปรับตัว ยอมรับความคิดเห็นของคนอื่น และเรียนรู้เร็ว เป็นต้น

หากตกที่นั่งเด็กเรียน ไม่ค่อยสนใจกิจกรรม ให้ตอบว่าเป็นคนที่ทุ่มเทกับเรื่องที่ได้รับผิดชอบ เช่น เรื่องเรียนหรือรายงานกลุ่ม อาจยกเกรดเฉลี่ยเลขสวยๆ มาเป็นตัวอย่าง หรือวิธีการเลือกวิชาเรียน ที่แสดงให้เห็นว่ามีการเตรียมตัว วางแผนการเรียนมาเป็นอย่างดี

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :การตอบคำถามสั้นๆ เช่น "ด้วยประสบการณ์ทำงาน 2 ปีที่ผ่านมา ผมเชื่อว่าสามารถทำงานนี้ได้" แล้วจบทันที ในกรณีนี้ คุณอาจจบเห่ เพราะไม่มีเหตุผลและตัวอย่างที่จะทำให้ผู้สัมภาษณ์เชื่อและมั่นใจในตัวคุณ 

3. ตามความเข้าใจของคุณ คุณคิดว่าตำแหน่งนี้ต้องมีหน้าที่รับผิดชอบอะไรบ้าง

หลักการ : ทำการบ้านก่อนมาสัมภาษณ์ด้วยการอ่านรายละเอียดของงานและคุณสมบัติของผู้สมัครที่ทางบริษัทต้องการ ทำความเข้าใจกับมัน ตอบให้สั้นและกระชับใจความ สิ่งสำคัญก่อนตอบต้องมั่นใจว่าเข้าใจ ถ้าไม่แน่ใจส่วนไหนไม่ต้องกลัวที่จะถาม อาจตั้งคำถามกลับในทำนองว่า เข้าใจตำแหน่งงาน แต่ไม่แน่ใจเกี่ยวกับข้อมูลกลุ่มลูกค้า และผลิตภัณฑ์มากนัก อยากให้ช่วยอธิบายให้เข้าใจในเบื้องต้น

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :ถ้าไม่รู้ อย่าพยายามตอบ เพราะถ้าตอบผิด นั่นหมายความว่าคุณไม่ได้ทำการบ้านมา ไม่ได้ให้ความสนใจกับงานนี้ แถมยังมั่วอีกต่างหาก 


อีก 50 % ขึ้นอยู่กับคคำถามสัมภาษณ์งานเหล่านี้
  • จุดมุ่งหมายระยะยาวในการทำงานของคุณ คืออะไร
หลักการ : พูดถึงสิ่งที่อยากทำในอนาคต และต้องบอกวิธีที่จะทำสิ่งนั้นให้สำเร็จ ซึ่งควรจะเกี่ยวข้องกับงานที่สัมภาษณ์อยู่ เช่น อีก 5 ปีข้างหน้าอยากเป็นผู้จัดการฝ่ายการตลาดที่เต็มไปด้วยศักยภาพและความสามารถในการพัฒนาพนักงานและองค์กรให้มีประสิทธิภาพ การที่จะถึงจุดนั้นได้ต้องมีการเตรียมตัวเป็นอย่างดี เช่น การได้มีโอกาสทำงานที่บริษัทนี้ก็เป็นสิ่งหนึ่งในการเตรียมตัวสำหรับอนาคต และอาจเพิ่มเติมตัวอย่าง เช่น วิธีการทำงานของตน เป็นต้น


คำตอบที่ไม่ควรตอบ :การตอบในสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานที่สมัครอยู่ (ถึงแม้จะเป็นความจริง) เพราะไม่เกิดประโยชน์ใดๆ เช่น อยากเปิดร้านอาหารในอีก 10 ปีข้างหน้า ถ้าตอบเช่นนั้น อาจโดนถามต่อว่าแล้วมาสมัครงานที่นี่ทำไม 
  • จุดอ่อนของคุณ คืออะไร
หลักการ : ควรเลือกจุดอ่อนที่เป็นความจริงและกำลังปรับปรุงหรือพัฒนาในขณะนี้ ที่สำคัญควรบอกผลลัพธ์หลังการปรับปรุงด้วย เช่น ภาษาอังกฤษไม่แข็งแรง ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนภาษาอังกฤษอยู่ เรียนมานานเท่าไหร่ ที่ไหน และผลการเรียนเป็นอย่างไรบ้าง

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :มีหลายคนเคยบอกว่าให้เปลี่ยนจุดแข็งให้เป็นจุดอ่อน เช่น เป็นคนทำงานหนักมากๆ ไม่เสร็จไม่กลับ อาจจะฟังดูดี แต่คุณกำลังทำลายตัวเอง เพราะปัจจุบันนี้การรู้จักจัดสรรเวลา (work life balance) เป็นประเด็นสำคัญของคุณภาพชีวิต อีกอย่างคุณกำลังโกหกเพื่อให้ดูดี แถมตอบผิดประเด็นอีกต่างหาก

คำตอบที่ถูกต้อง : ดิฉันไม่ค่อยชอบพูดต่อหน้าสาธารณะค่ะ ซึ่งคุณคงทราบดีอยู่แล้ว ว่ามันอาจเป็นอุปสรรคในการทำงานได้ พอคิดได้ว่ามันเป็นปัญหา ดิฉันจึงลองเข้าอบรมการพูด จากนั้นมาก็นำเสนองานต่อหน้าผู้บริหารระดับสูงมากกว่า 100 ครั้ง แม้ตอนนี้ดิฉันก็ยังไม่ค่อยชอบการพูดอยู่เพียงแต่ฝึกจนให้คนอื่นจับไม่ได้เท่านั้นเองล่ะค่ะ
  • คุณรู้อะไรเกี่ยวกับบริษัทเราบ้าง
หลักการ : ก่อนมาสัมภาษณ์งาน จำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องทราบและเข้าใจข้อมูลต่างๆ เกี่ยวกับองค์กรที่สมัคร เช่น ผลิตภัณฑ์ กลุ่มลูกค้า คู่แข่ง ภาพลักษณ์องค์กร ที่มาและประวัติขององค์กร ฯลฯ สิ่งเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า คุณได้ทำการบ้านมา และให้ความสนใจกับองค์กรอย่างแท้จริง อย่าลืมย้ำตอนท้ายด้วยว่า หลังจากที่ศึกษาเกี่ยวกับองค์กร ทำให้เรามีความสนใจที่อยากจะทราบเกี่ยวกับองค์กรเพิ่มเติม

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :การตอบแบบมั่นใจในตัวเองจนเกินไป หรือคำตอบที่สร้างภาพพจน์ไม่ดีให้กับตัวเอง เช่น "ทราบมาว่าที่นี่กำลังขาดผู้จัดการฝ่ายการตลาด ด้วยประสบการณ์งาน 3 ปีในด้านนี้ ทำให้คิดว่าสามารถแก้ปัญหานี้ได้" คำตอบอย่างนี้นอกจากไม่สร้างทัศนคติที่ดีขององค์กรให้กับตัวเองแล้ว ยังเป็นการโอ้อวดตัวเองเกินไป
  • ถ้าได้งานนี้ คุณคิดว่าจะทำงานที่นี่นานเท่าไหร่
หลักการ : ให้มุ่งประเด็นไปที่ความทุ่มเทของตัวเองและความท้าทายของงาน ด้วยการบอกว่าตราบใดที่งานมีความยากและท้าทาย ก็จะขอจะทุ่มเทความสามารถของตัวเองให้เต็มที่เพื่อสร้างคุณประโยชน์ให้กับองค์กร

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :บอกแผนการหรือระยะเวลา (ซึ่งเป็นความจริง) เช่น มีแผนไปเรียนต่ออีก 2-3 ปีข้างหน้า หรือ ทางบ้านมีแผนให้ไปช่วยธุรกิจที่บ้าน
  • ทำไมคุณถึงออกจากงานเก่า
หลักการ : ตอบความจริงให้มากที่สุด แต่สั้นกระชับใจความ ไม่จำเป็นต้องตอบทั้งหมดถ้าความจริงมันเลวร้ายเหลือเกิน อย่าลืมว่าผู้สัมภาษณ์อาจขออนุญาตติดต่อบุคคลอ้างอิงเพื่อทำการตรวจสอบข้อมูลเหล่านั้น

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :ควรหลีกเลี่ยงการวิจารณ์ที่ทำงานและนายเก่า เพราะเหล่านี้จะทำให้ภาพลักษณ์ของคุณดูแย่ และนั่นหมายถึงความกล้าที่จะวิจารณ์บริษัทต่อๆ ไปที่คุณร่วมงานด้วย 
  • อะไรคือสิ่งที่คุณชอบและไม่ชอบในงานเก่า
หลักการ : ควรบอกสิ่งที่ชอบมากกว่าสิ่งที่ไม่ชอบ และให้คำอธิบายรวมถึงเหตุผลว่าทำไมเราจึงคิดเช่นนั้น

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :บอกในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องงานหรืออ้างอิงถึงบุคคล เพราะนั่นหมายถึงคุณกำลังวิจารณ์คนอื่น ไม่จำเป็นต้องเล่าทุกอย่างที่แย่ๆ เกี่ยวกับงาน เพราะไม่เกิดประโยชน์อะไรขึ้นมา 
  • อะไรคือสิ่งที่คุณประสบความสำเร็จสูงสุดในชีวิต
หลักการ : ควรจะเป็นเรื่องที่รู้สึกภูมิใจที่สุดในช่วง 1-2 ปีของการทำงาน คุณอาจพูดถึงการเลื่อนขั้น ปรับตำแหน่งในการทำงาน หรือตลอดระยะเวลาที่ทำงานมามีแต่ความราบรื่นไม่เคยมีปัญหากับลูกค้า 

หากคุณมีความสำเร็จชัดเจน เช่น สามารถทำยอดการขายได้ทะลุเป้า 200% หรือ สามารถลดต้นทุนการผลิตได้ 25% ให้เล่าที่มาของเรื่องนั้น วิธี แนวดำเนินการ ผลลัพธ์ ตลอดจนอุปสรรคที่เกิดขึ้น รวมถึงวิธีการแก้ปัญหา 

ถ้าเป็นผู้สมัครที่เพิ่งจบการศึกษาหมาดๆ อาจจะพูดถึงเกรดเฉลี่ย หรือความภาคภูมิใจที่สามารถสอบเข้ามหาลัยที่มีชื่อเสียงได้

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :การแต่งเรื่องขึ้นเองหรือพูดเกินจริงกว่าสิ่งที่ได้ทำ ส่งผลให้วิธีการเล่าแตกต่างไป ซึ่งผู้สัมภาษณ์ที่มีความเชี่ยวชาญ จะสามารถตั้งคำถามต้อนจนจับได้ว่าเป็นเรื่องที่แต่งขึ้น
  • ทำไมถึงอยากทำงานนี้
หลักการ : ใครๆ ก็บอกว่า ชอบช้อปปิ้ง, ชอบเขียน, ชอบขายของ ได้ทั้งนั้น สิ่งที่คุณต้องเน้นก็คือประวัติการทำงานในสายงานหรือการอบรมที่เกี่ยวข้อง ถ้ามีประสบการณ์เป็นตัวอย่างก็อย่าลืมเล่าเสริมไปด้วย

คำตอบที่ไม่ควรตอบ : ดิฉันชอบช้อปปิ้งค่ะ ตอนเด็กๆ ยังเคยนั่งเปิดเคตตาล็อกสินค้าได้เป็นชั่วโมง”

คำตอบที่ถูกต้อง : ดิฉันชอบซื้อของ แต่มาสนใจตลาดค้าปลีกจริง ๆ ตอนที่ทำงานในห้องเสื้อใกล้บ้าน ตอนนั้นดิฉันทราบว่าเสื้อผ้าของเราสวยมาก แต่เราไม่ได้ทำการตลาดดีพอจากนั้น ดิฉันจึงทำงานร่วมกับฝ่ายบริหาร และร่วมมือกันคิดกลยุทธ์การตลาดที่ทำให้ยอดขายของเราพุ่งขึ้นถึง 25% ภายในปีเดียว ดิฉันคิดว่าการที่เราสามารถทุ่มเทให้แก่งานที่เราชื่นชอบจริง ๆ เป็นสิ่งที่ดีมากค่ะ รวมถึงการช่วยโปรโมตสินค้าที่ดิฉันเชื่อมั่นด้วย
  • คุณคิดอย่างไรกับหัวหน้า คนปัจจุบัน/คนเดิม 
หลักการ : ถ้าคุณได้งานนี้ สักวันหนึ่งคนที่สัมภาษณ์คุณก็จะกลายเป็น เจ้านายเก่า เหมือนกัน รับประกันได้ว่าเขาคงไม่อยากจ้างคนที่นินทาเขาลับหลังหรอก พยายามมองในแง่ดีและพูดถึงสิ่งดี ๆ ที่เราได้เรียนรู้ดีกว่า (ต่อให้ความเป็นจริงจะแย่สุด ๆ ก็เถอะ)

คำตอบที่ไม่ควรตอบ : หัวหน้าของดิฉันไม่ค่อยมีประสิทธิภาพค่ะ แกทำงานด้วยยาก ดิฉันเลยตัดสินใจลาออกค่ะ

คำตอบที่ถูกต้อง : ดิฉันได้เรียนรู้เกี่ยวกับความสำคัญของการบริหารเวลาจากหัวหน้า เพราะเขาเคร่งเรื่องเดดไลน์มาก หัวหน้ามีนิสัยที่จะไม่เล่นระหว่างทำงานเด็ดขาด ทำให้ดิฉันผลักดันให้ตัวเองทำงานหนักมากขึ้นเพื่อให้ทันเดดไลน์โดยที่ไม่เคยคิดด้วยซ้ำว่าเป็นไปได้
  • ในอนาคตอีก 7 ปี คุณจะทำอะไรอยู่ 
หลักการ : คำถามนี้ไม่มีคำตอบที่ถูกหรือผิด สำคัญอยู่ที่คนสัมภาษณ์เขาอยากรู้ว่าคุณทะเยอทะยาน รักการทำงาน และทุ่มเทให้แก่องค์กรมากแค่ไหน ดังนั้น แทนที่จะเล่าความฝันในอนาคตหรือเล่าเรื่องขำขัน พยายามตอบให้เห็นความมุ่งมั่นของคุณดีกว่าน

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :ะคงจะทำงานอยู่ค่ะ/เกษียณและพักผ่อนสบาย ๆ

คำตอบที่ถูกต้อง :ภายใน 5 ปีนี้ ดิฉันหวังว่าจะได้รู้จักกับธุรกิจนี้ดียิ่งขึ้น และเนื่องจากดิฉันชอบติดต่อกับผู้คน ดิฉันก็อยากจะทำงานในฝ่ายบริหารที่ได้ใช้ความรู้ในสายงานพร้อม ๆ กับทักษะด้านมนุษยสัมพันธ์ให้เป็นประโยชน์กับเพื่อนร่วมงานและองค์กรค่ะ
  • คุณต้องการเงินเดือนเท่าไหร่
หลักการ : ถ้าเลี่ยงได้ก็อย่าระบุตัวเลข แทนที่จะบอกตรง ๆ ให้สำรวจระดับเงินเดือนตำแหน่งเดียวกันมาก่อน (ละแวกเดียวกันด้วย) และค่อยย้ำความมุ่งมั่นต่อการทำงานอีกที

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :เดิมทีดิฉันได้ 35,000 ตอนนี้เลยอยากได้ค่าตอบแทนประมาณ 40,000 ค่ะ

คำตอบที่ถูกต้อง :ดิฉันสนใจเนื้องานมากกว่าค่าตอบแทนค่ะ แต่ก็หวังว่าจะได้รับเงินเดือนที่เหมาะสมกับประสบการณ์ห้าปีในหน้าที่นี้ และก็คิดว่าเงินเดือนจะต้องพอกับค่าใช้จ่ายในกรุงเทพฯ ด้วย
  • ทำไมเราควรจะจ้างคุณ
หลักการ : คำตอบที่ดีควรจะย้ำอีกครั้งถึงคุณสมบัติของเรา และก็เน้นจุดเด่นเข้าไปอีกที

คำตอบที่ไม่ควรตอบ : ดิฉันเป็นผู้สมัครที่เหมาะสมที่สุดค่ะ        

คำตอบที่ถูกต้อง :ดิฉันเป็นผู้ช่วยผู้บริหารมาตลอด 10 ปี หัวหน้าคนเดิมพูดเสมอ ๆ ว่าถ้าไม่มีดิฉัน องค์กรคงอยู่ไม่ได้ นอกจากนี้ ดิฉันยังได้เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับซอฟต์แวร์ที่ใช้อยู่เป็นประจำ (แต่ไม่เข้าใจระบบของมันจริง ๆ สักเท่าไหร่) ตอนนี้ดิฉันใช้ Excel ได้ดีเยี่ยม ซึ่งทำให้ดิฉันทำงานได้เร็วขึ้น และก็ช่วยแบ่งเบาภาระงานเดิมของหัวหน้าได้บ้าง
  • แรงจูงใจของคุณ คืออะไร
หลักการ : คำตอบเช่นนี้ไม่ผิดอะไร เพียงแต่น่าเสียดายโอกาส เพราะคำถามนี้แทบเป็นการขอร้องให้คุณเปิดเผยทัศนคติดี ๆ ออกมาเลยนะ ดังนั้น จงอย่าให้คำตอบตื้น ๆ สั้น ๆ มันบอกเกี่ยวกับตัวคุณเองได้น้อยมาก ให้มองว่าคำถามนี้เป็นโอกาสที่จะให้คนสัมภาษณ์รู้จักตัวตนที่แท้จริงของคุณพร้อม ๆ กับเล่าประสบการณ์ที่เคยเกิดขึ้นจริงไปด้วย

คำตอบที่ไม่ควรตอบ :การทำงานได้ดีและได้รับรางวัลตอบแทนค่ะ

คำตอบที่ถูกต้อง : ดิฉันชอบความท้าทายของเดดไลน์-ในตำแหน่งปัจจุบัน ดิฉันสามารถส่งผลิตภัณฑ์ได้ตรงเวลาถึง 100% โดยที่ไม่เกินงบประมาณด้วย ดิฉันทราบดีว่างานนี้เน้นความรวดเร็วและเดดไลน์ก็เคร่งครัดมาก แต่ดิฉันไม่ได้แค่พร้อมสำหรับความท้าทายค่ะ จริง ๆ แล้วดิฉันทำงานได้ดีที่สุดในสภาพที่กดดันค่ะ

ประวัติ Adolf Hitler อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ประวัติ Adolf Hitler อดอล์ฟ ฮิตเลอร์

ประวัติ Adolf Hitler อดอล์ฟ ฮิตเลอร์
.1889 เมื่อวันที่ 20 เมษายน ฮิตเลอร์ถือกำเนิด ที่เมืองเบรานา (Braunau) ประเทศออสเตรีย เป็นบุตรของนายอาลัวส์ ฮิตเลอร์ (Alois Hitler) และนางคลารา ฮิตเลอร์ (Klara Hitler) ในวัยเด็ก ฮิตเลอร์ เป็นเด็กเรียนเก่งจึงได้รับการไว้วางใจให้เป็นหัวหน้าห้อง เป็นคนรักศิลปะ และนั้นก็เป็นเหตุให้ผลการเรียนของเขาตกลง
.1903 ฮิตเลอร์สอบตอกซ้ำชั้นจึงถูกบิดาไล่ออกจากบ้าน และหลังจากนั้น 3 วันฮิตเลอร์ก็กลับมา ครอบครัวฮิตเลอร์ย้ายไปอยู่ลินซ์ ( Linz )
.1907 มารดาของฮิตเลอร์เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเต้านม และทำให้ฮิตเลอร์หนีไปอยู่กับป้าที่เวียนนา
.1907-1909 ฮิตเลอร์หาเลี้ยงชีพด้วยการเป็นจิตกร และได้หลงรักหญิงสูงศักดิ์ แต่มาเธอผู้นั้นได้ไปแต่งงานกับชาวยิว ( นั้นอาดเป็นเหตุที่ทำให้ฮิตเลอร์ผูกใจเจ็บชาวยิว และเป็นชนวนในการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ชาวยิวต่อมา )
.1909 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นอาสาสมัครในกองทัพเยอรมัน
.1914 ฮิตเลอร์ เข้าเป็นแนวหน้าของทัพบกเยอรมัน เข้าร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ในตอนนั้นฮิตเลอร์ยังเป็นแค่พลทหารเขาอยู่ในหน่วยรบแนวหน้า เขาเฉียดตายหลายครั้งแต่ก็รอดมาได้ ในไม่นานด้วยความกล้าของเขาทำให้เขาได้ติดยศสิบตรี
.1916 เศรษฐกิจเยอรมันตกต่ำจากภาวะสงคราม บ้านเมืองจลาจลวุ่นวาย ข้าวยากหมากแพง ซึ่งทำให้ความกดดันนั้น ทำให้ฮิตเลอร์เกิดอุดมการณ์รักชาติขึ้นมา และเริ่มปลุกระดมชาวบ้านให้สู้ และอุดมการณ์อันแรงกล้าของฮิตเลอร์ ทำให้ฮิตเลอร์เริ่มเป็นที่รู้จักในวงแคบ และเป็นจุดเริ่มต้นชีวิตการเมืองของฮิตเลอร์
.1919 ฮิตเลอร์เข้าร่วมกับพรรคนาซี และในปีเดียวกันนี้ เยอรมันได้ทำสนธิสัญญาแวร์ซายส์ ซึ่งเยอรมันเสียเปรียบอย่างชัดเจน ทำให้อุดมการณ์ของฮิตเลอร์โดดเด่นขึ้นมา ฮิตเลอร์จึงเริ่มเป็นที่รู้จักในวงกว้าง และพรรคนาซี ก็เริ่มมีคนเยอรมันสมัครเข้ามาร่วมเป็นจำนวนมาก
.1921 ฮิตเลอร์ได้เป็นหัวหน้าพรรคนาซี โดยพรรคนาซีในยุคฮิตเลอร์มีนโยบายต่อต้านชาวยิว และลัทธิสังคมนิยม
.1923 ฮิตเลอร์พยายาม ก่อการปฏิวัติ แต่ไม่สำเร็จ จึงถูกตัดสินจำคุก ในระหว่างจำคุกนี้ เขาได้เขียนหนังสือที่มีชื่อว่า “การต่อสู้ของข้าพเจ้า” (Mein Kampf)
.1924 ฮิตเลอร์ถูกปล่อยตัวออกมาก่อนกำหนด และเริ่มดำเนินกิจกรรมการเมืองต่อ
.1927 ฮิตเลอร์ถูกสั่งห้ามปราศรัยในที่สาธารณะ
.1932 ในการเลือกตั้งในเยอรมนี พรรคนาซีได้รับเลือก 230 ที่นั่ง จาก 608 ที่นั่งในสภาขณะนั้น ทำให้อำนาจฮิตเลอร์มีสูงขึ้น
.1933 ได้รับแต่งตั้งเป็นนายกรัฐมนตรี
.1934 ฮิตเลอร์ควบตำแหน่งประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี ประมุขของรัฐ และผู้บัญชาการทหารสูงสุด หรือที่เรียกกับว่า ผู้นำ หรือ ฟือเรอร์ (Fuhrer)1935 เยอรมันก่อตั้งกองทัพอากาศขึ้นอย่างเป็นทางการ1939 เกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของฮิตเลอร์ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพเยอรมันและฝ่ายอักษะ (ญี่ปุ่นและอิตาลี) ได้ยึดครองยุโรปได้เกือบทั้งทวีป ฮิตเลอร์ได้ใช้นโยบายด้านเชื้อชาติ ทำให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งทำให้ผู้บริสุทธิ์ตายไปอย่างน้อย 11 ล้านคน โดยเป็นชาวยิวถึง 6 ล้านคน ฮิตเลอร์เปลี่ยนแปลงเยอรมนีจากประเทศผู้แพ้สงครามโลกครั้งที่หนึ่งมาเป็นมหาอำนาจของโลก1945 เยอรมันนีแพ้สงครามโลกครั้งที่ 2 พบศพฮิตเลอร์ยิงตัวตาย แต่ยังเป็นข้อถกเถียงกันถึงปัจจุบันว่านั้นใช่ ศพของ ฮิตเลอร์ ตัวจริง หรือไม่ ?

กำเนิดสงครามโลกครั้งที่1เพราะอะไร

สงครามโลกครั้งที่1คือ สงครามแห่งความขัดแย้งระดับโลกที่เกิดขึ้นระหว่าง ค.ศ.1914 ถึงค.ศ.1918 ระหว่างฝ่ายพันธมิตรกับฝ่ายมหาอำนาจกลาง
สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่1
1.ผลจากการปฏิวัติอุตสาหกรรม
2.การเกิดลัทธิจักรวรรดินิยม  ชาติมหาอำนาจในยุโรปได้ขยายอำนาจและอิทธิพลออกไปสู่ดินแดนนอกทวีป
3. การเกิดลัทธิชาตินิยม   เป็นความรู้สึกรักและภูมิใจในชาติของตนอย่างรุ่นแรง
 4.ปรารถนาจะเห็นชาติของตนมีอำนาจยิ่งใหญ่เหนือชนชาติอื่น  โดยการสร้างกองทัพให้เข้มแข็งรุกรานชนชาติอื่น
ภาพบุคคลสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
bbb
โฉมหน้าของบิสมาร์ค แห่งเยอรมัน
การรวมกลุ่มของยุโรปก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 
tip
ฝ่ายไตรภาคี  Triple Alliance
ประกอบด้วย เยอรมัน ออสเตรเลีย-ฮังการี และอิตาลี
หมายเหตุ ก่อนการจัดตั้งเป็น Triple Alliance ได้มีการรวมกลุ่ม ชื่อว่า Triple Emperor (สัญญาสันนิบาตสามจักรพรรดิ) ประกอบด้วย เยอรมัน ออสเตรีย-ฮังการี และรัสเซีย
ฝ่ายไตรพันธมิตร Triple Entente
ปประกอบด้วย อังกฤษ ฝรั่งเศส และรัสเซีย
รูปภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างประเทศก่อนสงครามโลกครั้งที่หนึ่งจะปะทุ
jko
ชนวนของสงครามโลกครั้งที่ 1
การลอบปลงพระชนม์เจ้าชายฟรานซิส  เฟอร์ดินานด์ องค์รัชทายาทของจักรวรรดิออสเตรีย- ฮังการี ขณะเสด็จประพาสนครหลวงแคว้นบอสเนีย เมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ค.ศ. 1914
fsn
ลำดับเหตุการณ์การเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 1
-ออสเตรีย-ฮังการีประกาศสงครามกับ เซอร์เบีย (เข้ากับพวกสลาฟ)
-รุสเซียและฝรั่งเศสเข้าช่วยเหลือเซอร์เบีย
-เยอรมันเข้าช่วยเหลือออสเตรีย-ฮังการี
-เยอรมันบุกผ่านเบลเยี่ยมเพื่อต่อสู้กับฝรั่งเศส
-แต่เบลเยี่ยมได้รับความเป็นกลางจากอังกฤษ
-ดังนั้นอังกฤษประกาศสงครามกับเยอรมัน
-อังกฤษและฝรั่งเศสจึงประกาศสงครามกับออสเตรีย-ฮังการี
การแบ่งฝ่ายในสงครามโลกครั้งที่ 1  (อาศัยผลประโยชน์เป็นสำคัญ)
ฝ่ายมหาอำนาจกลาง
•ออสเตรีย-ฮังการี  
• เยอรมัน
• ตุรกี             
• บัลกาเรีย
ฝ่ายสัมพันธมิตร
เซียร์เบีย  รุสเซีย (รัสเซีย)   ฝรั่งเศส อังกฤษ ญี่ปุ่น อิตาลี โปรตุเกต โรมาเนีย  ไทย    จีน     สหรัฐอเมริกา
อาวุธที่ใช้ในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1
rostung
รถถังเอ 7 วี น้ำหนัก 30 ตัน ใช้รีเวท ยิงตลอดคันแผ่นเหล็กที่ใช้ทำเกราะขนาด 20 ถึง 50 ม.ม. โดยเฉพาะด้านหน้าใช้ 50 ม.ม. ใช้เครื่องยนต์ของเดมเลอร์ 4 สูบ 100 แรงม้า2 เครื่อง ให้ความเร็ว 9 ก.ม./ช.ม. ความจุถังเชื้อเพลิงขนาด 500 ลิตร พลขับและผ.บ.รถขึ้นไปอยู่บนป้อมที่หมุนไม่ได้ อาวุธหลักใช้ปืน 57 ม.ม. และปืนกลเอ็มจี -15  ขนาด 7.9 ม.ม.อีก 6 กระบอก
Gun
                         ปืนกลหนัก Vickers หล่อเย็นลำกล้องด้วยน้ำที่อยู่ในท่อรอบๆลำกล้องนั่นแหละครับ ยิงไปมากๆน้ำ     ระเหยออกหมด บางที่ต้องฉี่ใส่แทนน้ำก็มีไ ม่งั้นลำกล้องขยายตัวมากจนกระสุนหล่นอยู่แค่ 5-6 เมตร      แถวปากลำกล้อง
gun teo
  Vickers ปืนกลที่มีระบบระบายความร้อนลำกล้องด้วยน้ำ
kk
                             
มันเฟรด ฟอน ริชโทเฟน เป็นนักบินเครื่องบินรบของเยอรมนีในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 เจ้าของฉายา เรดบารอน (Red Baron) ได้รับการบันทึกสถิติอย่างเป็นทางการว่าสามารถยิงเครื่องบินฝ่ายตรงข้ามตกถึง 80 ลำ และยังมีข้อมูลที่ยังไม่ได้รับการยืนยัน ว่าอาจจะถึง 100 ลำ
ship       Hood Class Battle Ship : Great Britain
        
          
สนามเพลาะในสงครามโลกครั้งที่ 1
zxc                    zxcv
สนามเพลาะ คือแนวตั้งรับในการทำสงคราม ด้วยการขุดหลุมเพลาะเป็นแนวยาวเหยียดหลายแนวสลับซับซ้อนกัน ไป ด้านหน้าทำการสร้างลวดหนามไว้ต้านทานทหารของฝ่ายข้าศึก ทหารจะอาศัยอยู่ในรูที่ ขุดเข้าไปใต้ดินเพื่อหลบลูกกระสุนปืนใหญ่ของข้าศึกและใช้หลับนอนอยู่อาศัย พอข้าศึกบุก ก็จะเข้าไปประจำในสนามเพลาะทำการยิงปืนยาวสกัดข้าศึกที่ดาหน้าฝ่าแนวลวดหนาม เข้ามารวมทั้งใช้ปืนกลและปืนใหญ่ของฝ่ายเดียวกันช่วยยิงสกัดข้าศึกด้วย พอจะทำการรุกทหารก็จะขึ้นจากสนามเพลาะของตนวิ่งข้ามเขตปลอดคน(No man land)
ผลของสงครามโลกครั้งที่ 1
1 ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประเทศคู่สงครามทั้ง 2 ฝ่าย
2. ประเทศผู้แพ้สงครามถูกบังคับให้ทำสนธิสัญญา ได้แก่
  สนธิสัญญาแวร์ซายส์  ทำกับประเทศเยอรมัน
  สนธิสัญญาตรีอานอง  ทำกับประเทศฮังการี
  สนธิสัญญาเนยยี  ทำกับประเทศบัลแกเรีย
  สนธิสัญญาแซงต์แยร์แมง  ทำกับประเทศออสเตรีย
  สนธิสัญญาแซฟส์  ทำกับประเทศตุรกี
3.มีคำแถลงการณ์ 14 ประการของประธานาธิบดีวูดโรล์ วิลสัน นำไปสู่การตั้งองค์การสันนิบาตชาติ (อเมริกาไม่เข้าร่วม/และไม่มีกำลังทหาร)    
4 ตุลาคม ค.ศ. 1918 เยอรมนีได้ส่งคำร้องขอยุติสงครามไปยัง วูดโรว์ วิลสัน ประธานาธิบดีของสหรัฐในขณะนั้น วูดโรว์ วิลสัน ได้ยื่นเงื่อนไขในการยุติสงคราม 
14 ข้อ โดยไม่ได้ปรึกษากับฝ่ายพันธมิตร
  1. ห้ามทำสนธิสัญญาลับระหว่างประเทศ
  2. เสรีภาพทางท้องทะเลแม้ในยามสงคราม
  3. การค้าเสรีระหว่างประเทศ
  4. การลดอาวุธ
  5. แก้ไขการอ้างสิทธิอาณานิคม
  6. เยอรมนีต้องถอนตัวออกจากดินแดนของรัสเซีย
  7. อิสรภาพของเบลเยี่ยม
  8. ต้องคืนแคว้นอัลซัค – ลอร์เรนให้ฝรั่งเศส
  9. ต้องปรับพรมแดนของอิตาลี
 10. ให้โอกาสปกครองตนเอง แก่จักรวรรดิออสเตรีย – ฮังการี
  11. ต้องฟื้นฟูรัฐบอลข่าน และเซอร์เบียต้องมีทางออกทะเล
 12. ประชากรที่ไม่ใช่ชาวเติร์กในจักรวรรดิตุรกีต้องเป็นอิสระ
  13. สร้างโปแลนด์ขึ้นใหม่
  14. ต้องจัดตั้งองค์การระหว่างประเทศ
สนธิสัญญาแวร์ซายส์
(สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายสัมพันธมิตรกับเยอรมนี)
va
4.เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั่วโลก เนื่องจากทุกประเทศทั่วโลกได้รับความเสียหายจากสงคราม
5. ทำให้จักรวรรดิที่ยิ่งใหญ่ของยุโรป ได้ล้มสลายลง เช่น จักรวรรดิรัสเซีย  จักรวรรดิเยอรมัน  จักรวรรดิออสเตรีย-ฮังการี และจักรวรรดิออตโตมันต้องล่มสลายลง
6.เกิดประเทศใหม่ในยุโรป เช่น เชคโกสโลวาเกียและยูโกสลาเวียแยกออกจากรัสเซีย ออสเตรีย  ฮังการี  ถูกแยกออกจากกัน   โปแลนด์ เอสโตเนีย ลัตเวีย และลิทัวเนีย แยกเป็นประเทศใหม่
ประเทศไทยกับสงครามโลกครั้งที่ 1
เหตุผลที่ไทยต้องเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1
สงครามโลกครั้งที่1 ตรงกับรัชสมัยของรัชกาลที่ ๖ โดยไทยต้องเข้าร่วมฝ่ายสัมพันธมิตร เพราะต้องการแก้ไขความไม่เป็นธรรมของสนธิสัญญาเบาร์ริ่งสมัยรัชกาลที่ ๔
ผลของการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1ของประเทศไทย
ไทยเข้าร่วมสงคราม อยู่ฝ่ายสัมพันธมิตร  
-ได้รับการยกเลิกสนธิสัญญาบาวริ่ง จากการช่วยเหลือขอ ดร.ฟรานซิส บี แซร์ (พระยากัลยาณไมตรี)
-ไทยได้รับเงินค่าปฏิกรรมสงครามมาจำนวน 2,000,000 บาท
-ไทยได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกองค์การสันนิบาต
อนุสาวรีย์ทหารอาสา
tahan 
  สถานที่สำหรับบรรจุอัฐทหารอาสาซึ่งเสียชีวิตระหว่างการรบในสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่ฝรั่งเศส
ตั้งอยู่ที่ถนนสามเหลี่ยมตรงมุมสนามหลวงด้านทิศเหนือ ตรงข้ามกับพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
วงเวียน 22 กรกฎาคม
vongwaing
        
สร้างขึ้นเพื่อรำลึกถึงวันที่รัชกาลที่ 6 ทรงตัดสินพระทัยนำประเทศไทยเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2460 โดยประกาศสงครามกับกลุ่มประเทศฝ่ายอักษะ ส่งผลให้เมื่อสิ้นสุดสงคราม ประเทศไทยได้รับผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ การเมืองระหว่างประเทศ และการทหาร รวมทั้งสามารถเรียกร้องแก้ไขและยกเลิกสนธิสัญญาที่ไม่เป็นธรรม ของชาติมหาอำนาจที่เคยทำไว้กับประเทศไทย